พวงหรีดคืออะไร? อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
- Thanat Manpadungkit
- Jul 27
- 1 min read

การทำความเข้าใจความหมายของพวงหรีด ควรเริ่มจากการย้อนกลับไปสำรวจต้นกำเนิดในโลกตะวันตก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม การใช้พวงหรีดในพิธีกรรมต่างๆ
บทความนี้จะพาผู้อ่านไปรู้จักกับความหมายดั้งเดิมของพวงหรีดในยุคแรก การเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมเมื่อเข้าสู่สังคมไทย ตลอดจนความหมายของพวงหรีดในอนาคต ที่ไม่เพียงแสดงความอาลัย แต่ยังสร้างคุณค่าใหม่ให้กับสังคมอีกด้วย
ความหมายพวงหรีดยุคโบราณ - มงกุฎแห่งชัยชนะและเกียรติยศ
ในโลกยุคโบราณ พวงหรีดไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าโศก แต่กลับเต็มไปด้วยความหมายเชิงบวก เช่น ชัยชนะ เกียรติยศ และชีวิตนิรันดร์ มีหลักฐานว่าพวงหรีดถูกใช้มาตั้งแต่อารยธรรมอีทรัสคัน ซึ่งมอบมงกุฎทองคำลวดลายใบไม้ให้แก่นักรบผู้กล้าหาญ
ต่อมาอารยธรรมกรีกและโรมันได้นำพวงหรีดมาใช้ในงานแข่งขันกีฬา เช่น โอลิมปิก โดยผู้ชนะจะได้รับพวงหรีดที่ทำจากใบมะกอกหรือลอเรล ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าอย่างอพอลโลและซุส
พวงหรีดยังสื่อถึงความยั่งยืนผ่านวัสดุจากพืชที่ไม่ผลัดใบ และรูปทรงวงกลมที่ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือสิ้นสุด จึงกลายเป็นตัวแทนของความเป็นนิรันดร์ ความสมบูรณ์แบบ และความมั่นคง ไม่เพียงใช้ในพิธีมอบรางวัล แต่ยังปรากฏในพิธีแต่งงาน งานเลี้ยง และการบูชาเทพเจ้า
ความหมายพวงหรีดยุควิกตอเรีย - กำเนิดพวงหรีดสำหรับงานศพ
ในยุควิกตอเรีย (ศตวรรษที่ 19) พวงหรีดได้รับการ “แปลความหมายใหม่” จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของความอาลัยในพิธีศพ โดยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมการไว้ทุกข์ที่เข้มงวด ด้วย “ภาษาดอกไม้” หรือ "Floriography" ที่เฟื่องฟูในสมัยนั้น
พร้อมกับความเชื่อแบบคริสต์ที่เน้นเรื่องชีวิตหลังความตาย ผู้คนในยุคนี้ให้ความสำคัญกับพิธีการแสดงความเศร้า การจัดพวงหรีดจึงไม่ใช่เพียงของตกแต่ง แต่เป็นสื่อทางอารมณ์ที่มีความหมายลึกซึ้ง และการให้เกียรติผู้วายชนม์
สื่อสารผ่านดอกไม้แต่ละชนิด ซึ่งสื่อถึงความรู้สึกเฉพาะ เช่น ลิลลี่แทนความบริสุทธิ์ กุหลาบแดงเข้มแทนความโศกเศร้า และคาร์เนชั่นชมพูแทนความระลึกถึง
รูปทรงวงกลมของพวงหรีดยังถูกตีความใหม่ภายใต้กรอบความเชื่อคริสต์ว่าเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตนิรันดร์และจิตวิญญาณที่ไม่มีวันสิ้นสุด การใช้พืชไม่ผลัดใบ เช่น ไซเปรสหรือลอเรล ยิ่งตอกย้ำแนวคิดเรื่องชัยชนะของชีวิตเหนือความตาย
นอกจากนี้ยังเกิดธรรมเนียมปฏิบัติใหม่ เช่น การแขวนพวงหรีดสีดำหน้าบ้านเพื่อแจ้งให้ชุมชนรับรู้ว่ามีผู้เสียชีวิต และสีของพวงหรีดยังสามารถบ่งบอกถึงอายุของผู้เสียชีวิตได้ เช่น สีขาวสำหรับเด็ก
พวงหรีดจึงมีบทบาททั้งทางสังคม ในการสื่อสาร ทางอารมณ์ จิตวิญญาณ และความรู้สึก ผ่านดอกไม้และสีดอกไม้ต่างๆ เพื่อให้สังคมมได้รับรู้และสามารถปฏิสัมพันธ์ในช่วงเวลาแห่งการสูญเสียได้อย่างลึกซึ้งและงดงาม โดยไม่ต้องบอกกล่าว
ความหมายพวงหรีดในประเทศไทยยุคแรก - สัญลักษณ์ของความศิวิไลซ์และความเป็นสากล
พวงหรีดเข้าสู่ประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 และแพร่หลายในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเริ่มใช้ในราชสำนักเป็นสัญลักษณ์ของความศิวิไลซ์และความเป็นสากล ท่ามกลางยุคที่สยามต้องเผชิญหน้ากับอิทธิพลของชาติตะวันตก การใช้พวงหรีดจึงไม่ใช่แค่เรื่องความงามหรือความอาลัย แต่เป็นยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงความเจริญและอารยะของชาติ
หลักฐานสำคัญคือภาพถ่ายในงานพระเมรุของสมเด็จพระปิยมาวดีฯ เมื่อ พ.ศ. 2447 ซึ่งเป็นพวงหรีดที่ทำจากดอกบานไม่รู้โรยย้อมสีมา เย็บแบบเป็นอักษรพระนามว่า “จปร” แขวนไว้บริเวณด้านซ้ายและด้านขวาของพระบรมโกศ ด้านละ 1 พวง

ภาพจาก: 56M 0053 Funeral of King Rama V at Dusit Throne Hall. The National Archives
สำหรับพวงมาลาพระราชทานจากพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ ถือเป็นเกียรติสูงสุดแก่ผู้วายชนม์ โดยในอดีตนั้น
พวงมาลาพระราชทานจะทำจากดอกไม้สดที่ประดิษฐ์ มีทั้งรูปวงกลมและหยดน้ำ นิยมใช้ดอกพุดและดอกรักถักร้อยเป็นลวดลายละเอียด ตกแต่งด้วยองค์ประกอบงดงาม เช่น เฟื่องห้อยและลายกนก พร้อมติดอักษรพระนามกำกับไว้บนพวงมาลา
อย่างไรก็ตาม เมื่อจำนวนผู้วายชนม์ที่ได้รับพระราชทานพวงมาลาเพิ่มมากขึ้น และสถานที่จัดพิธีศพอยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ การขนส่งพวงมาลาดอกไม้สดจึงกลายเป็นเรื่องไม่สะดวก ด้วยเหตุนี้จึงมีการปรับเปลี่ยนวัสดุเป็นดอกไม้ประดิษฐ์จากผ้าแทน เพื่อให้คงความสวยงามสมพระเกียรติ ขณะเดียวกันก็ทนทานต่อการขนส่งและสามารถรักษารูปทรงเดิมไว้ได้อย่างเหมาะสม
ด้วยเหตุนี้เอง พวงหรีดจึงเข้ามาแทนที่พุ่มดอกไม้ทอง-เงินแบบเดิม และจำกัดอยู่ในหมู่ชนชั้นสูง ก่อนค่อย ๆ แพร่หลายสู่สังคมทั่วไป
การรับพวงหรีดจึงไม่ใช่เพียงการนำเข้าวัฒนธรรมตะวันตก แต่เป็นการใช้สัญลักษณ์เพื่อต่อรองอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศ และแสดงออกถึงความพร้อมของสยามในการเป็นชาติที่เจริญทัดเทียมกับอารยประเทศอื่น ๆ บนเวทีโลก
ความหมายพวงหรีดประเทศไทยในยุคปัจจุบัน - กำเนิดพวงหรีดสำหรับงานศพ
เมื่อพวงหรีดเริ่มแพร่หลายจากราชสำนักสู่ประชาชนทั่วไปในไทย มันได้ผ่านกระบวนการ “ทำให้เป็นไทย” (Thai-ification)
ซึ่งความหมายของพวงหรีดถูกปรับให้เข้ากับกรอบความคิดแบบไทย-พุทธ โดยจำกัดการใช้งานเฉพาะในพิธีศพ ต่างจากวัฒนธรรมตะวันตกที่ใช้ทั้งในงานมงคลและอวมงคล
สังคมไทยไม่มีเทศกาลเฉลิมฉลองที่เปิดพื้นที่ให้พวงหรีดทำหน้าที่เชิงสัญลักษณ์แบบเดียวกับคริสต์มาส พวงหรีดจึงถูกผนวกรวมเข้ากับพิธีศพ ซึ่งเดิมใช้เพียงดอกไม้ ธูป และเทียน
ในบริบทไทย พวงหรีดกลายเป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับความสง่างามและเกียรติยศของผู้วายชนม์ในพิธีศพ รวมถึงเป็นการร่วมไว้ทุกข์ หรือเป็นตัวแทนของบุคคลหรือกลุ่มคณะในการแสดงความอาลัยให้แด่ผู้วายชนม์
อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบัน การใช้พวงหรีดจำนวนมากโดยขาดการดูแลและการจัดการที่ดี ทำให้วัดหลายแห่งประสบปัญหา “พวงหรีดล้นวัด” ก่อให้เกิดขยะจำนวนมากหลังเสร็จสิ้นพิธี ซึ่งกลายเป็นภาระต่อวัดและสิ่งแวดล้อม ความท้าทายนี้เปิดพื้นที่ให้เกิดการออกแบบพวงหรีดรูปแบบใหม่ เช่น พวงหรีดที่ใช้ประโยชน์ต่อได้ หรือพวงหรีดทำบุญที่นำรายได้ไปบริจาค ซึ่งเป็นการคืนความหมายเดิมของพวงหรีดในฐานะสัญลักษณ์แห่งการให้และการส่งต่อชีวิตอย่างแท้จริง
ความหมายพวงหรีดประเทศไทยในอนาคต - กำเนิดพวงหรีดความหมายใหม่
ในอนาคต ความหมายของพวงหรีดในประเทศไทยจะเปลี่ยนไป จาก “เครื่องแสดงความอาลัย” ไปสู่ “เครื่องแสดงความอาลัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและใช้ประโยชน์ต่อได้” ดังเช่นแนวคิดของ โกลเด้นหรีด พวงหรีดยุคใหม่ที่ไม่เพียงแสดงความรักและอาลัย แต่ยังสะท้อนความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
โกลเด้นหรีด พวงหรีดทำบุญป้ายทองคำ ลดภาระขยะพวงหรีดหลังพิธีเสร็จสิ้น พร้อมเป็นสื่อกลางในการ “ทำบุญบริจาค” ให้กับโรงพยาบาลและมูลนิธิ โดยนำรายได้จากพวงหรีดไปช่วยเหลือโรงพยาบาลหรือมูลนิธิ พร้อมมีใบอนุโมทนาบุญลดหย่อนภาษีสูงสุด 2 เท่าให้กับผู้สั่งซื้อ
นอกจากลดขยะในวัดแล้ว พวงหรีดทำบุญนี้ยังเป็นการสื่อสารอย่างมีคุณค่า ว่าความอาลัยสามารถส่งต่อเป็นพลังบวกให้กับผู้อื่นในสังคมได้อย่างยั่งยืน ถือเป็นการกำเนิด “พวงหรีดแบบใหม่” ที่ตอบโจทย์ทั้งความรู้สึกและความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้ได้อย่างงดงาม
สรุปแล้วพวงหรีดคืออะไร?
โกลเด้นหรีดขอสรุปว่า พวงหรีด คือ สัญลักษณ์ของชีวิต เกียรติยศ และความเป็นนิรันดร์ในอดีต ก่อนจะถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นเครื่องหมายแห่งความอาลัยในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ความหมายของพวงหรีดในอนาคตกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นสื่อกลางแห่งการให้และการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน

Comments